สีมา
สีมา : หมายถึง "ขอบเขตดินแดนที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญ
ที่สุดของพระสงฆ์ คู่กับอุโบสถ ใช้เป็นที่ทำสังฆกรรม"
ชนิดของสีมา
- พัทธสีมา : คือเขตแดนที่สงฆ์กำหนดขึ้นเอง ตั้งอยู่บนแผ่นดิน ใช้สิ่งต่างๆเป็นนิมิตหรือเครื่องหมาย เช่น ต้นไม้ ภูขา แม่น้ำ จอมปลวก ศิลา(หิน) เป็นต้น ส่วนมากใช้
ศิลาทำเป็นแท่งกลมหรือแปดเหลี่ยม เพราะมั่นคงกว่าอย่างอื่น เช่นสีมาของวัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง เชียงใหม่ สีมาของวัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร เชียงใหม่ แต่สีมาที่สร้างขึ้นใหม่ไนปัจจุบันนิยมหล่อด้วยคอนกรีต คงจะเป็นเพราะทนทาน ทำง่ายกว่าศิลา เช่นสีมาของวัดศรีโสดา พระอารามหลวง ที่ตั้งอยู่เชิงดอยสุเทพ เป็นต้น
สำหรับนิมิตที่เป็นลูกกลม หรือการตัดลูกนิมิตเพิ่ง
ได้รับอิทธิพลจากภาคกลาง
- อพัทธสีมา : ได้แก่เขตชุมนุมที่สงฆ์ไม่ได้กำหนดขึ้นเอง แต่ถือเอาเขตที่กำหนดไว้ตามปรกติของบ้านเมือง อาจจะเป็น เขตบ้าน ตำบล แม่น้ำ นิคม
- วิสุงคามสีมา : คืออาณาเขต หรือบริเวณส่วนหนึ่งภายในวัด ที่พระเจ้าแผ่นดินประกาศพระราชทานให้แก่สงฆ์ การสร้างโบสถจะต้องสร้างภายในเขตวิสุงคามสีมาที่ได้รับพระราชทานนี้เท่านั้น และการสร้างนิมิตเครื่องหมายขอบเขตบริเวณของพัทธสีมา รอบอุโบสถก็ต้องอยู่ภายในเขตของวิสุงคามสีมาด้วย
มีพระบรมพุทธานุญาตให้สงฆ์กำหนดขนาดสีมาตามความจำเป็น ไม่ให้เล็กหรือใหญ่เกินไป ขนาดเล็กสุดให้พระสงฆ์เข้านั่งหัตถบาส (นั่งตรงยื่นแขนออกไปจับตัวของอีกคนหนึ่งได้) ได้ไม่ต่ำกว่า ๒๑ รูป เพราะการทำสังฆกรรมบางอย่างต้องใช้พระสงฆ์ ๒๑ รูป ขนาดใหญ่ที่สุดไม่เกิน ๓ โยชน์ (...น่าจะเป็นพื่นที่ ๓ ตารางโยชน์ = ๖๐ ไร่ ...ผู้เขียน)
สีมากลางน้ำ
ชื่อเรียกเป็นภาษาบาลี ว่าอุทกสีมา (อ่าน อุ-ทะ-กะ-สี-มา) หรือ
อุทกุกฺเขปสีมา (อ่าน อุ-ทะ-กุก-เข-ปะ-สี-มา)
เป็นสีมาที่กำหนดเขตขึ้นในน้ำ จัดเป็นอพัทธสีมา ชนิดหนึ่ง แบ่งตามลักษณะของน้ำที่กำหนดขึ้นเป็น อุทกสีมา ได้ดังนี้
- นทีสีมา : คือเขตแดนที่สงฆ์กำหนดบนแม่น้ำ เช่นแม่น้ำปิง กล่าวคือแม่น้ำนั้นจะต้องมีน้ำไหลผ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีตัน ไม่ขอดแห้ง
- สมุทรสีมา : คือเขตแดนในทะเลมหาสมุทร การกำหนดเขตเริ่มต้นของสีมา ให้กำหนดชายฝั่งที่น้ำงวดสุดในแต่ละวัน ตามภาษาราชการว่า "น้ำลงเต็มที่"
- ชาตสระสีมา : ต้องเป็นสระที่ผู้หนึ่งผูใดมิได้ขุดทำไว้ เป็นสระที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เต็มไปด้วยน้ำที่มาได้รอบด้าน มีน้ำพอใช้อยูเสมอ
อุทกสีมา จะต้องมีระยะห่างจากฝั่งไม่น้อยกว่าการสำหรับสถานที่นั้น จะใช้เรือก็ได้ แพขนานก็ได้ ซึ่งจะต้องทอดสมอหรือผูกกับหลักยึดไว้กลางน้ำ หรือผูกกับต้นไม้ที่เกิดขึ้นในน้ำ จะผูกเรือหรือแพกับกิ่งของต้นไม้ที่ขึ้นอยู่บนตลิ่งที่ยื่นลงไปในแม่น้ำไม่ได้ จะทำบันไดยื่นหรือทอดไปหาเรือหรือแพก็ได้ แต่ตอนสวดสมมติสีมาหรือทำสังฆกรรมจะต้องดึงบันไดออกไม่ให้พาดหรือสัมผัสกับส่วนหนึ่งส่วนใดของเรือหรือแพ จะใช้เรือที่เคลื่อนที่เป็นสีมาทำสังฆกรรมไม่ได้
วักน้ำสาดไปโดยรอบแห่งบุรุษผู้มีกำลังปานกลาง สาดไปไม่ถึงสีมานั้น
ความแตกต่างระหว่างอุทกสีมากับพัทธสีมา
อุทกสีมา หรือ สีมากลางน้ำ มักจะเป็นสีมาที่สมมติขึ้นเฉพาะกิจในการทำสังฆกรรมแต่ละครั้ง เมื่อจะทำสังฆกรรมครั้งหนึ่ง ก็ทำพิธีสวดสมมติครั้งหนึ่ง โดยกำหนดเอาเวลาที่สงฆ์นั่งหัตถบาสอยู่เท่านั้น พอลุกจากที่หรือละหัตถบาส ก็เป็นอันสิ้นสุดเขตสีมานั้น จะใช้ใหม่ก็ต้องสมมติขึ้นใหม่ ในการสมมติอุทกสีมาแต่ละครั้งไม่ต้องสวดถอน เพราะถือว่าเป็นสถานที่บริสุทธิ์อยู่แล้ว แม้จะเคยทำอุทกสีมา ณ สถานที่เดียวกันมาก่อน ก็ถือว่าอายุแห่งอุทกสีมานั้นหมดไปแล้ว กลายเป็นแม่น้ำ มหาสมุทร หรือหนองน้ำในสภาพปรกติไปแล้ว ในสมัยโบราณจึงนิยมทำสังฆกรรมในอุทกสีมา เพราะเชื่อว่าบริสุทธิ์มากกว่าพัทธสีมา
สำหรับการทำพัทธสีมา ต้องสวดถอนพื้นที่เสียก่อน เกรงว่าพื้นที่นั้นเป็นบริเวณสีมาที่ถูกสมมติมาก่อน จะทำให้สีมาที่สมมติขึ้นทีหลังใช้ไม่ได้ เพราะเป็นสีมา
สังกระ (สีมาที่คาบเกี่ยวกัน) ถือว่าเป็นสีมาวิบัติ การทำสังฆกรรมใดๆบนสีมาวิบัติ ก็เป็นกรรมวิบัติด้วย
ทั้งหมด
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๙ พระสงฆ์เชียงใหม่ถูกรวบรวมการปกครองเข้ากับส่วนกลาง ได้รับขนบธรรมเนียมพิธีกรรมต่างๆ แบบส่วนกลาง ทำให้การอุปสมบทแบบอุทกสีมาเริ่มหมดความนิยม เพราะได้มีการขอพระราชทานวิสุงคามสีมา เพื่อผูกเป็นพัทธสีมา และการใช้ลูกนิมิตแบบกลมก็ถูกนำมาใช้ในเขตล้านนาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน.
1 ความคิดเห็น:
สมัยบวชเรียน ไม่ตั้งใจฟังและมิได้ถามครูบาอาจารย์ ขอบคุณครับได้ประโยชน์แก้ข้อสงสัยข้องใจได้กระจ่างทีเดียวครับ
แสดงความคิดเห็น